อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เกษตร อัดฉีดเงิน 4000 พันล้าน มุ่งพัฒนาสหกรณ์รับมือ AEC

“เกษตร” ทุ่มงบ 4,103 ล้านบาท สนับสนุนสหกรณ์แนวชายแดนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ 3 จังหวัด ได้แก่ ตาก สระแก้วและสงขลา เป็นแหล่งรวบรวมและแปรรูปผลผลิตด้านการเกษตรพืช 3 ชนิด คือ ข้าวโพด มันสำปะหลัง และยางพารา เพื่อส่งขายตีตลาดพม่า กัมพูชา และมาเลเซีย

นายโอภาส กลั่นบุศย์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้วางงบประมาณ 4,103 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมโครงการบริหารจัดการผลิตผลเกษตรในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 3 แห่ง คือ 1.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จ.ตาก 2.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอรัญประเทศ จ.สระแก้ว และ 3.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสะเดา จ.สงขลา โดยร่วมมือกับสหกรณ์ 16 สหกรณ์ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 3 แห่ง เพื่อแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรและสร้างเสถียรภาพทางด้านราคา พร้อมเพิ่มมูลค่าผลผลิต และขยายช่องทางการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังประเทศพม่า กัมพูชา และมาเลเซียอีกด้วย

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นกรมส่งเสริมสหกรณ์มีแผนเร่งสนับสนุนให้สหกรณ์ตามแนวชายแดน นำเข้าผลิตผลการเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน แล้วปรับปรุงคุณภาพและบริหารจัดการในการจัดเก็บเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การผลิตในประเทศ หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออกหรือใช้ภายในประเทศ โดยมีเป้าหมายส่งเสริมให้สหกรณ์ 5 แห่ง ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศพม่า จำนวน 200,000 ตัน

“กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรจะสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่สหกรณ์ในเขต เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ วงเงินรวม 540 ล้านบาท และส่งเสริมการสร้างโรงงานแปรรูปแป้งข้าวโพดอีก 1 โรง มูลค่า 350 ล้านบาท เพื่อส่งผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศที่ 3”

เนื่องด้วยการบริหารจัดการผลิตผลการเกษตรในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอรัญประเทศ มีแผนส่งเสริมให้สหกรณ์ 5 แห่ง นำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศกัมพูชา เป้าหมาย 210,000 ตัน โดยกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรจะสนับสนุนเงินกู้ยืมแก่สหกรณ์ วงเงิน 87 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียน ทั้งยังอุดหนุนเงินจ่ายขาด 5 ล้านบาท เพื่อสร้างลานตากในพื้นที่ 5 ไร่ พร้อมสร้างโรงไซโลเก็บมันสำปะหลัง ขนาด 10,000 ตัน จำนวน 2 โรง วงเงินรวม 40 ล้านบาท และสร้างโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง 1 โรง วงเงิน 350 ล้านบาท มุ่งผลักดันส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปยังจีนและสิงคโปร์ 95% และอีก 5% จำหน่ายภายในประเทศเพื่อนำไปผลิตเป็นอาหารสัตว์

สำหรับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสะเดา จ.สงขลา 6 แห่ง ดำเนินการจัดเก็บน้ำยางพาราจากบริเวณแนวชายแดน รวม 200,000 ตัน ใช้งบรวม 2,026 ล้านบาท แยกเป็นเงินกู้ยืมจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร 1,600 ล้านบาทและเงินจ่ายขาด 426 ล้านบาท

และในอนาคตคาดว่าจะเกิดศูนย์กลางการจัดการผลิตผลการเกษตรในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 3 แห่ง ซึ่งสามารถแก้ปัญหาผลิตผลการเกษตรในพื้นได้ นอกจากนั้น ยังคาดว่าสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการฯจะสามารถรวบ รวมผลิตผลการเกษตร มูลค่ารวมกว่า 13,070 ล้านบาท นำมาปรับปรุงคุณภาพและแปรรูปเพื่อการส่งออกและนำมาใช้ภายในประเทศได้อีกด้วย

cr thairath