ทิศทางข้าวไทย ภายใต้นโยบายรับจำนำ
ประชากรไทยกว่าร้อยละ 60 เป็นเกษตรกรและส่วนใหญ่ปลูกข้าวเป็นพืชหลัก ข้าวไทยนับเป็นสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญมาก ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ กล่าวคือประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกมานานกว่า 120 ปี โดยมีส่วนแบ่งตลาดถึง 1 ใน 3 ของปริมาณการค้าข้าวโลกทั้งหมด ด้วยไทยมีผลผลิตเหลือจากการบริโภคภายในประเทศมากกว้าประเทศอื่น โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจส่งออกข้าวไทยได้เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากเดิมที่มียอดส่งออกปีละ 6 ล้านตัน ก็พุ่งทะลุไปกว่า 10 ล้านตัน แต่เมื่อยโยบายประชานิยมอย่างโครงการรับจำนำข้าวออกมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดส่งออกข้าวของไทยหดตัวลง
แน่นอนว่าเกิดจากโครงการรับจำนำข้าวในระดับราคาสูงที่รัฐบาลประกาศรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าทุกเมล็ดในระดับราคา 15,000 บาทและข้าวหอมมะลิที่ราคา 20,000 บาท การที่รัฐเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ในตลาดที่ข้าวเปลือกให้ราคาสูงทำให้เอกชนทั่วไปเคยรับซื้อในราคาตลาดทั่วไปไม่สามารถแข่งขันได้ ทำให้ข้าวเปลือกจำนวนมากจึงไหลเข้าไปสู่โครงการรับจำนำของรัฐ แต่การรับจำนำในราคาสูงกว่าราคาตลาด แม้จะเป็นการดึงราคาข้าวเปลือกในตลาดรับซื้อเอกชนให้สูงขึ้นตามราคาของรัฐจะช่วยให้เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง แต่ราคาข้าวเปลือกที่สูงขึ้นกว่าราคาตลาดทั่วไป ก็จะไปสะท้อนยังราคาข้าวสารส่งออกที่จะทำให้ราคาข้าวส่งออกของไทยปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
การที่รัฐเป็นผู้รับซื้อรายใหญ่ในตลาด ข้าวเปลือกและเป็นผู้ครอบครองข้าวสารรายใหญ่ในตลาดส่งออกข้าวของไทยนั้น รัฐจำเป็นต้องทำหน้าที่ในการขายหรือระบายข้าวออกอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมิฉะนั้นจะเกิดการสูญเสียกับอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบตามมา แต่ที่ผ่านมากลไกลการจำหน่ายข้าวออกของรัฐดูเหมือนจะขาดประสิทธิภาพและขาดการวางกลไกลที่เหมาะสม แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ข่าวเป็นระยะว่า ได้มีสัญญาขายข้าวในรูปของรัฐต่อรัฐ (G to G) กับฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บังคลาเทศ โกตติวัวร์ และล่าสุดกับจีน แต่ข้อเท็จจริงพบว่าประเทศที่หน่วยงานของรัฐได้มีการกล่าวถึงดังกล่าว ได้ซื้อข้าวจากไทยในปีที่ผ่านมาในจำนวนที่ลดลงอย่างมาก
การที่ไทยส่งออกข้าวลดลงนั้นเป็นเพราะข้าวสารส่งออกของไทยมีราคาสูงกว่าราคาข้าวสารส่งออกของประเทศคู่แข่งขันที่สำคัญอย่างเช่น เวียดนาม และอินเดียอย่างมาก หากจะนำราคาส่งออกข้าว 5% และ 25% เฉลี่ยทั้งปีของประเทศผู้ส่งออกสำคัญมาพิจราณาพบว่าข้าว 5%ของไทยในตลาดการค้าข้าวโลกมีระดับราคาเฉลี่ยต่อตันอยู่ที่ 573 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่เวียดนามส่งออกข้าวสาร 5% ในตลาดการค้าโลกในราคาเฉลี่ยเพียง 432 ดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งต่างกันถึงตันละ 141 ดอลล่าร์สหรัฐ
การสร้างอำนาจการผูกขาดของรัฐทั้งในตลาดข้าวเปลือกและตลาดข้าวสารส่งออกตามโครงการรับจำนำ จึงไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อการค้าข้าวแต่อย่างไร แต่ได้สร้างผลกระทบต่อตลาดส่งออกข้าวไทยและอาจนำไปสู่ภาวะวิกฤตตามมา อีกทั้งการยกระดับราคาข้าวของไทยด้วยต้นทุนของงบประมาณจำนวนมากได้เอื้อประโยชน์ต่อคู่แข่งไทยในตลาดส่งออกพร้อมๆ กับการสร้างแรงกดดันให้ประเทศผู้นำเข้า หันไปใช้นโยบายพึ่งพาตนเองโดยพยายามขยายการผลิตภายในประเทศของตนเองให้มากขึ้นเพื่อสร้างเสถียรภาพของความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศของตนเองตามมาอีกด้วย
ความจริงเรื่องจำนำข้าว
เคยมีให้เห็นมาตั้งแต่อดีตแล้วว่ามันเกิดปัญหาขายข้าวไม่ได้ หรือขายถูกกว่าราคารับซื้อรัฐก็จะขาดทุนหลายหมื่นล้านบาท ขนาดก่อนหน้านี้เปิดรับจำนำในปริมาณจำกัดยังเสียหายมหาศาล แต่คราวนี้รับจำนำทุกเมล็ด ราคาก็เกินราคาตลาดอยู่มาก จึงเป้นความเสียหายทั้งระบบ ซึ่งสุดท้ายก็จะส่งผลไปที่เกษตรกรรายย่อย วันนี้เกษตรกรอาจดีใจที่ขายข้าวได้ราคาดี แต่เป็นเพียงชาวนาส่วนน้อยเท่านั้น ที่ขายข้าวได้ราคาจริงตามที่รัฐประกาศรับจำนำ โดยที่รู้ไม่ว่าความหายนะระยะยาวกำลังคืบคลานเข้ามาในเร็ววันนี้
อย่างไรก็ตาม การส่งออกข้าวไทย ในปี 2556 เชื่อว่ายังต้องเหนื่อย โดยปัจจัยมาจากเวียดนามตั้งเป้าส่งออกข้าวที่ 7 แสนตันในราคาที่ถูกกว่าไทย ด้านผู้ส่งออกข้าวคาดส่งออกข้าวเฉพาะเอกชนปี 2556 ส่งออกได้ 6.5 ล้านตัน สำหรับการส่งออกข้าว 2556 จากการคาดการณ์ของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ คาดว่าไทยจะส่งออกได้อันดับ 1 ที่ปริมาณ 8 ล้านตัน อินเดียส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน เวียดนามส่งออกได้ 7.4 ล้านตัน อย่างไรก็ตามทางผู้ส่งออกยังมองว่าการส่งออกปีนี้ยังคงต้องเผชิญปัญหาและอุปสรรคที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทย ทั้งเรื่องของการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบมาจากเวียดนามทยอยส่งออกข้าวสู่ตลาดโลกมากขึ้นตั้งเป้าไว้ที่ 7 แสนตัน โดยส่งออกในราคาถูกซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกต่ำลง อีกทั้งความต้องการข้าวจากจีน อินโดนีเซีย และฟิปปินส์ลดลงทำให้เวียดนามชิงตลาดข้าวไทยได้มากขึ้น
โดยเป็นผลมาจากราคาข้าวไทยยังคงมีราคาสูง และไทยยังคงเดินหน้ารับจำนำข้าวต่อเนื่อง อีกทั้งขณะนี้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า การแข่งขันข้าวไทยยังคงต้องลำบากโดยจีนยังคงนำเข้าข้าวอย่างต่อเนื่อง ประเทศอิรักเละญี่ปุ่นมีการเปิดประมูลซื้อข้าว ซึ่งยังเป็นโอกาสที่ข้าวไทยจะส่งออกได้หากดูจากเป้าการส่งออกข้าวเฉพาะภาคเอกชนเองคาดว่าการส่งออกในปี 2556 จะสามารถส่งออกได้ 6.5 ล้านตัน ขณะที่กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะส่งออกได้ 8.5 ล้านตัน หรือมีมูลค่า 5,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หากคิดเป็นเงินบาทอยู่ที่ 171,000 ล้านตัน ซึ่งเป็นการส่งออกในภาพรวมของประเทศ หรือหากมีรัฐบาลสามารถระบายข้าวรัฐได้มากขึ้นในรูปแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี ก็เชื่อว่าการส่งออกข้าวในภาพรวมอาจจะมากกว่า 8.5 ล้านตันได้ แต่ก็เป็นคำถามที่ว่าจะขายได้รึป่าว
ข้าวจ้าวพันธุ์ ข้าวบ้านนา 432
ข้าวจ้าวชาวบ้านนาสายพันธุ์ PCRC92001-432เป็นข้าวขึ้นน้ำพันธุ์พื้นเมืองที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์โดยการคัดเลือกแบบคัดสายพันธุ์บริสุทธิ์ โดยในปี 2535นายกฤษณพงศ์ ศรีพงษ์พันธุ์กุล นักวิชาการเกษตร 6 กลุ่มพืชศาสตร์ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี ได้เก็บคัดเลือกรวงข้าวพันธุ์ขาวบ้านนาจากแปลงนาของนายจรูญ ธรรมศรี เกษตรที่ทุ่งคลองสารภี หมู่ที่ 8 ต.วัดโบสถ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งมีพื้นที่ปลูกข้าวขึ้นน้ำพันธุ์พื้นเมืองพันธุ์ขาวบ้านนาและพันธุ์ขาวตาเพชร ทั้งนี้พันธุ์ข้าวทั้งสองไม่ความบริสุทธิ์เท่าที่ควร เพราะเกษตรกรใช้พันธุ์โดยการแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวกันในพื้นที่
ในปี 2537 ได้ปลูกคัดเลือกโดยทำการศึกษาพันธุ์เบื้องต้นที่ศูนย์วิจัยข้าวปราจีน และนาเกษตรกร ต.เตยน้อย อ.เมือง จ.นครนายก และ ต.วัดโบสถ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี คัดเลือกได้สายพันธุ์ดีจำนวน 20 สายพันธุ์ ในระหว่างปี 2538-2540 ได้ดำเนินการปลูกข้าวสายพันธุ์ดี จำนวน 20 สายพันธุ์ เพื่อศึกษาพันธุ์ขั้นสูง โดยการปลูกแถวยาว 4 เมตร จำนวน 4 แถวต่อสายพันธุ์ ที่ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี และนาเกษตรกร อ.เมือง และ อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี อ.เมือง จ.นครนายก รวม 4 แปลงต่อปีจนคัดเลือกได้สายพันธุ์ดี โดยพิจารณาจากลักษณะทรงต้น อายุเก็บเกี่ยว เสถียรภาพการให้ผลผลิต และคุณภาพเมล็ดที่ดีกว่าข้าวขึ้นน้ำพันธุ์ขาวบ้านนาพื้นเมืองที่เกษตรกรใช้ปลูกได้ จำนวน 7 สายพันธุ์ ที่ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี
ระหว่างปี 2544-2548 ได้วิเคราะห์คุณภาพเมล็ดทางกายภาพและเคมีที่ศูนย์วิจัยข้าวปราจีน และศึกษาการตอบสนองต่ออัตราปุ๋ยไนโตรเจนที่ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนและนาเกษตรกร อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ในปี 2548 ได้ทดสอบความสามารถในการขึ้นน้ำที่ศูนย์วิจัยข้าวพระนครศรีอยุธยา ในปี 2551 ที่ศึกษาระยะพักตัวของเมล็ดลักษณะทางสัณฐานวิทยาและลักษณะทางการเกษตรที่ศูนย์วิจัยข้าวปราจีน ในระหว่างปี 2551-2553 ได้ดำเนินการทดสอบปฏิกิริยาต่อโรคและแมลงศัตรูข้าวที่สำคัญที่กลุ่มวิชาการ สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว ศูนย์วิจัยข้าวปราจีน ในปี 2554 ได้ดำเนินการทดสอบปฏิกิริยาต่อโรคไหม้ ปลูกทดสอบยืนยันผลความสารถในการขึ้นน้ำและผลิตเมล็ดพันธุ์ดัก ที่ศูนย์วิจัยข้าวปราจีน และประเมินการยอมรับของเกษตรกรโดยการปลูกทดสอบและประเมินการยอมรับของชาวนาข้าวขึ้นน้ำในเขต อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี จนสามารถคัดเลือกได้ข้าวขาวบ้านนา สายพันธุ์ดีเด่น “PCRC92001-432” ซึ่งเป็นสายพันธุ์ให้ผลผลิตสูง กล่าวคือ มีความสารถในการให้ผลผลิตที่ดีเหนือกว่าสายพันธุ์พลายงามปราจีน มีอายุออกดอกประมาณวันที่ 12 พฤศจิกายน เหมาะสมกับการลดลงของระดับน้ำ และเก็บเกี่ยวได้พอดีกับการแห้งของน้ำในนา ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญสอดคล้องกับผลการประเมินความชอบข้าวขาวบ้านนาสายพันธุ์ PCRC92001-432 ของเกษตรกรในปี 2554 ที่ชอบเนื่องจากมีความเหมาะสมทั้งการเจริญเติบโต การขึ้นน้ำ และในช่วงวันเวลาเก็บเกี่ยวข้าว
ลักษณะเด่นของข้าวจ้าวพันธุ์ขาวบ้านนา 432 คือ เป็นข้าวขึ้นน้ำ ให้ผลผลิตเฉลี่ย 449 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งสูงกว่าพันธุ์พลายงามปราจีนบุรี ร้อยละ 35 (333 กิโลกรัมต่อไร่) สามารถขึ้นน้ำและปลูกได้ดีในน้ำที่ลึกที่มีระดับน้ำมากกว่า 100 เซนติเมตร และเป็นช่วงเก็บเกี่ยวประมาณวันที่ 10-14 ธันวาคม จึงเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เมล็ดข้าวมีคุณสมบัติเหมาะสำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เส้น ได้แก่ เส้นหมี่ และเส้นขนมจีน โดยที่เส้นหมี่และเส้นขนมจีนที่ผลิตได้ดีมีลักษณะเหนียวนุ่ม
ข้าวเหนียวลืมผัว
ข้าวเหนียวลืมผัวเป็นข้าวเหนียวนาปีของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวม้ง ไทยรวมไทยพัฒนาที่ 3 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จ.ตาก ปลูกในสภาพไร่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 650 เมตร และได้มีกลุ่มชาติพันธุ์ชาวม้ง นำเมล็ดพันธุ์มาปลูกบริเวณรอยต่อระหว่าง อ.นครไทย และ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ต่อมาปี 2553 นายพนัส สุวรรณธาดา เจ้าพนักงานการเกษตร 5 (ตำแหน่งในขณะนั้น) ศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก ไปปฏิบัติการราชการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ภูขัด ภูเมี่ยง ภูสอยดาวบริเวณ อ.นครไทยและ อ.ชาติตระการ ได้พบเห็นและสนใจจึงรวบรวมและนำมาปลูกเปรียบเทียบกับข้าวที่ปลูกจากแหล่งเดิม อ.พบพระ และคัดเลือกพันธุ์ให้บริสุทธิ์ระหว่างปี 2534-2539 ณ ส่วนแยกของสถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอ อ.พบพระ จ.ตาก เพื่อใช่ในโครงการตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถเมื่อคัดเลือกพันธุ์บริสุทธิ์แล้วได้มอบเมล็ดพันธุ์ให้ นายไชยวัฒน์ วัฒนไชย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชสวนพิจิตร (ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาอธิบดีกรมการข้าว) สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ที่เสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯ จากนั้นนายพนัส สุวรรณธาดา ได้ทำแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ในปี 2539 และนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้ไปให้กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ที่ ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จ.ตาก ซึ่งเป็นแหล่งปลูกดั้งเดิมปลูกขยายพันธุ์เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
แต่ด้วยวิธีการปลูกแบบชาวเขาที่มักปลูกข้าวหลายพันธุ์ใกล้กันหรือปลูกด้วยกัน จึงทำให้ข้าวเหนียวลืมผัวมีเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์อื่นปะปน และไม่เป็นพันธุ์บริสุทธิ์ ในปี 2552 ศูนย์วิจัยโลกพิษณุโลก และศูนย์วิจัยข้าวแพร่ จึงได้เริ่มทำการคัดเลือกพันธุ์บริสุทธิ์อีกครั้ง เริ่มจากการคัดเลือกแบบหมู่ (Mass selection) และคัดเลือกรวงในปี 2551 เพื่อนำมาทำเป็นพันธุ์บริสุทธิ์โดยปลูกแบบรวงต่อแถว แล้วนำไปเปรียบเทียบผลผลิตเบื้องต้นที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตาก ทดสอบการปรับตัวในแปลงเกษตรกรที่ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ปลูกเปรียบเทียบผลผลิตระหว่างสถานี และในนาราษฎร วิเคราะห์คุณค่าเมล็ดทางโภชนาการ ทดลองปฏิกิริยาการตอบสนองต่อปุ๋ยในโตรเจน ทดสอบปฏิกิริยาต่อโรคและแมลงศัตรูข้าวที่สำคัญ วิเคราะห์คุณภาพเมล็ดทางกายภาพ เคมี คุณภาพสี การหุงต้มรับประทานและทำลายพิมพ์เอกลักษณ์ (DNA fingerprint)
ลักษณะเด่นของข้าวเหนียวลืมผัว
คือ เมล็ดทีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระรวมสารเหล่านี้ ได้แก่ แอนโทไซยานิน และแกมมา โอไรซานอล กรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น โอเมกา 3 โอเมกา 6 และโอเมกา 9 วิตามิน เช่น วิตามินอี ธาตุอาหาร เช่น เหล็ก แคลเซียม แมงกานีส ข้าวกล้องเมื่อหุงสุกมีกลิ่นหอม ลักษณะสัมผัสเมื่อแรกเคี้ยวจะกรุบ หนึบ ภายในนุ่มเหนียว
จากข้อมูลข้าวเพื่อการค้าที่นำเสนอมาทั้งหมดจะพบว่า สายพันธุ์ข้าวที่ได้รับการส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกอยู่ในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นการต่อยอดมาจากฐานพันธุกรรมข้าวสายพันธุ์ดั้งเดิมในท้องถิ่นนั่นเอง ความจำเป็นที่ต้องมีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวก็คือ เพื่อตอบสนองต่อสภาพการณ์ธรรมชาติต่างๆที่เปลี่ยนแปลง